ไฮไลท์สำคัญ
การเปลี่ยนกระบวนทัศน์สู่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง: การวิจัยมุ่งเน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และวิธีการที่ให้อำนาจผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
บทบาทที่ไม่หยุดนิ่งของเทคโนโลยี: การบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) สื่อดิจิทัล และเครื่องมือเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะบุคคลและมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21: เน้นการเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน การสื่อสาร และความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Literacy)
นิยามและความสำคัญของการวิจัยการศึกษายุคใหม่
การวิจัยทางการศึกษาในยุคใหม่ (Modern Educational Research) หรือการวิจัยการศึกษาในศตวรรษที่ 21 หมายถึง กระบวนการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและระบบการศึกษา ให้สอดคล้องกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันและอนาคต โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างแนวคิด ระบบ และการจัดการศึกษาที่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยในยุคนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการวิเคราะห์กระบวนการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม แต่ขยายขอบเขตไปสู่การสำรวจนวัตกรรม วิธีการสอนใหม่ๆ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและเตรียมความพร้อมผู้เรียนสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน
ความสำคัญของการวิจัยการศึกษายุคใหม่ปรากฏชัดในการเป็นรากฐานสำหรับการตัดสินใจเชิงนโยบาย การพัฒนาหลักสูตร การฝึกอบรมครู และการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพสูงสุดของผู้เรียนทุกคน นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างความเสมอภาค และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้พลเมืองสามารถปรับตัวและเติบโตในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรม
ภาพนักเรียนกำลังทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ทันสมัย สะท้อนถึงการเน้นการทำงานเป็นทีมและการเรียนรู้เชิงรุก
การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
หัวใจสำคัญของการวิจัยการศึกษายุคใหม่คือการเปลี่ยนจากกระบวนทัศน์การสอนที่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) ไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) และการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) วิธีการสอนแบบดั้งเดิมที่เน้นการบรรยายและการท่องจำกำลังถูกแทนที่ด้วยแนวทางที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสร้างความรู้ การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา
วิธีการสอนที่เป็นนวัตกรรม
การวิจัยได้นำเสนอและประเมินประสิทธิภาพของวิธีการสอนใหม่ๆ หลายรูปแบบ ได้แก่:
การเรียนรู้จากโครงงาน (Project-Based Learning - PBL): ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในโครงงานที่เชื่อมโยงกับปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน และการสื่อสารอย่างลึกซึ้ง
ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom): ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาบทเรียนล่วงหน้าผ่านสื่อออนไลน์นอกเวลาเรียน และใช้เวลาในชั้นเรียนทำกิจกรรม แบบฝึกหัด โครงงาน หรืออภิปรายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความรู้
การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning): ผสมผสานการเรียนการสอนแบบเผชิญหน้าในห้องเรียนกับการเรียนรู้ออนไลน์ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้เข้ากับจังหวะการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น
การเรียนรู้จากการเล่นเกม (Game-Based Learning): ใช้กลไกและหลักการออกแบบเกมมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจ ความสนุกสนาน และการมีส่วนร่วมของผู้เรียน พร้อมทั้งพัฒนาทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์และการแก้ปัญหา
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning): ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน พัฒนาทักษะทางสังคม การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม
การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning): ครอบคลุมเทคนิคและกิจกรรมหลากหลายที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีบทบาทอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนรู้ เช่น การอภิปรายกลุ่ม การแก้ปัญหาร่วมกัน การทำกิจกรรมภาคปฏิบัติ ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาจำนวนมากชี้ว่าส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น
ตัวอย่างหน้าจอจาก Classcraft แพลตฟอร์มที่ใช้หลักการเกมมิฟิเคชันเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในห้องเรียน
บทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการวิจัยการศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการวิจัยและการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษายุคใหม่ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีกำลังถูกนำมาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจ เป็นส่วนตัว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการศึกษา
AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนจำนวนมาก (Big Data) เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการเรียนรู้และปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน (Personalized Learning) นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในเรื่องการประเมินผล ลดภาระงานของครู และให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้เรียนได้แบบเรียลไทม์
เทคโนโลยีอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ความจริงเสริม (Augmented Reality - AR) และความจริงเสมือน (Virtual Reality - VR): สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงและดื่มด่ำ ทำให้ผู้เรียนสามารถมองเห็นและโต้ตอบกับเนื้อหาที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น
สื่อการเรียนรู้ดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์: เพิ่มการเข้าถึงแหล่งข้อมูลการเรียนรู้ที่หลากหลายและส่งเสริมการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
เครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันออนไลน์: สนับสนุนการเรียนรู้แบบร่วมมือและการสร้างองค์ความรู้ร่วมกันแม้ผู้เรียนจะอยู่ต่างสถานที่
ภาพพื้นที่นวัตกรรม (Innovation Space) ในโรงเรียนที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้แบบลงมือทำ
ทักษะสำคัญสำหรับศตวรรษที่ 21
การวิจัยการศึกษายุคใหม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในการดำรงชีวิตและทำงานในศตวรรษที่ 21 หรือที่เรียกว่า "ทักษะแห่งอนาคต" ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทักษะหลักๆ ดังนี้:
กลุ่มทักษะ 4Cs และอื่นๆ
การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem-Solving): ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนอย่างมีเหตุผล
ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation): ความสามารถในการคิดนอกกรอบ สร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ และพัฒนานวัตกรรม
การทำงานร่วมกัน (Collaboration): ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งปันความคิดเห็น และบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
การสื่อสาร (Communication): ความสามารถในการสื่อสารความคิดเห็น ข้อมูล และความรู้สึกได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ทั้งการพูด การเขียน และการใช้สื่อต่างๆ
ความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Literacy): ความสามารถในการใช้ เข้าใจ ประเมิน และสร้างสรรค์ข้อมูลผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีจริยธรรมและปลอดภัย
ทักษะชีวิตและอาชีพ (Life and Career Skills): รวมถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัว ความคิดริเริ่ม การกำกับตนเอง ทักษะทางสังคมและวัฒนธรรม การเป็นผู้นำ และความรับผิดชอบ
การวิจัยมุ่งเน้นหาวิธีการบูรณาการการพัฒนาทักษะเหล่านี้เข้าไปในหลักสูตรและการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้เรียนไม่เพียงแต่ได้รับความรู้ทางวิชาการ แต่ยังพร้อมสำหรับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง
แผนผังความคิด: องค์ประกอบหลักของการวิจัยการศึกษายุคใหม่
แผนผังความคิดนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นการวิจัยการศึกษายุคใหม่ ตั้งแต่แนวทางการสอน เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ทักษะที่จำเป็น ไปจนถึงเป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง
mindmap
root["การวิจัยการศึกษายุคใหม่"]
id1["แนวทางการสอน"]
id1_1["การเรียนรู้จากโครงงาน (PBL)"]
id1_2["ห้องเรียนกลับด้าน"]
id1_3["การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)"]
id1_4["การเรียนรู้แบบผสมผสาน"]
id1_5["การเรียนรู้จากการเล่นเกม"]
id1_6["การเรียนรู้แบบร่วมมือ"]
id2["เทคโนโลยีและนวัตกรรม"]
id2_1["ปัญญาประดิษฐ์ (AI)"]
id2_2["AR/VR"]
id2_3["EdTech Tools"]
id2_4["แพลตฟอร์มออนไลน์"]
id3["ทักษะศตวรรษที่ 21"]
id3_1["4Cs: คิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) สร้างสรรค์ (Creativity) ร่วมมือ (Collaboration) สื่อสาร (Communication)"]
id3_2["ความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Literacy)"]
id3_3["ทักษะชีวิตและอาชีพ"]
id4["เป้าหมายหลัก"]
id4_1["การเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning)"]
id4_2["การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)"]
id4_3["ความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity)"]
id4_4["การพัฒนากำลังคน"]
id5["ผลกระทบและการประยุกต์ใช้"]
id5_1["นโยบายการศึกษา"]
id5_2["การพัฒนาหลักสูตร"]
id5_3["การพัฒนาครู"]
id5_4["การออกแบบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้"]
เปรียบเทียบแนวทางการเรียนรู้: ดั้งเดิม vs. สมัยใหม่
ตารางนี้แสดงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างแนวทางการเรียนรู้แบบดั้งเดิมและแนวทางการเรียนรู้สมัยใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยทางการศึกษาในปัจจุบัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ลักษณะ
แนวทางดั้งเดิม
แนวทางสมัยใหม่ (ศตวรรษที่ 21)
บทบาทผู้เรียน
เป็นผู้รับความรู้ (Passive receiver)
เป็นผู้สร้างความรู้และมีส่วนร่วม (Active participant, Co-creator)
บทบาทผู้สอน
เป็นผู้บรรยาย ถ่ายทอดความรู้ (Lecturer, Knowledge transmitter)
เป็นผู้อำนวยความสะดวก ชี้แนะ (Facilitator, Guide, Coach)
เนื้อหาการเรียนรู้
เน้นข้อเท็จจริงและทฤษฎีตามตำรา
เน้นความเชื่อมโยงกับโลกจริง ประเด็นปัจจุบัน และสหวิทยาการ
แหล่งความรู้
จำกัดอยู่ที่ครูและตำราเรียนเป็นหลัก
หลากหลาย ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญ ชุมชน แหล่งข้อมูลออนไลน์ และประสบการณ์ตรง
วิธีการสอน
การบรรยาย การท่องจำ การทำแบบฝึกหัดซ้ำๆ
โครงงาน การแก้ปัญหา การอภิปราย การทำงานกลุ่ม การใช้เทคโนโลยี
การประเมินผล
เน้นการสอบวัดความจำและความเข้าใจในเนื้อหา
เน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) การประเมินทักษะ ผลงาน และกระบวนการ
การใช้เทคโนโลยี
มีจำกัด หรือใช้เป็นเครื่องมือเสริม
บูรณาการอย่างกว้างขวางเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงข้อมูล และการทำงานร่วมกัน
เป้าหมายการเรียนรู้
ความรู้ทางวิชาการเป็นหลัก
ความรู้ ทักษะ (เช่น 4Cs, Digital Literacy) และคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับอนาคต
แนวโน้มและทิศทางการวิจัยในอนาคต (พ.ศ. 2568-2570 และต่อไป)
การวิจัยทางการศึกษาในอนาคตมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับประเด็นต่อไปนี้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่หยุดยั้ง:
การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI: การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนเพื่อสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล (Adaptive Learning) อย่างละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อช่วยครูในการออกแบบการสอนและการประเมินผล
การเรียนรู้ที่ยั่งยืนและการเป็นพลเมืองโลก: การบูรณาการประเด็นด้านความยั่งยืน (Sustainability) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship) เข้ากับการเรียนการสอน เพื่อสร้างผู้เรียนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ตลอดชีวิตและความยืดหยุ่น: การพัฒนาระบบและแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) รวมถึง Microlearning (การเรียนรู้หน่วยย่อย) และทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้คนทุกวัยสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
สุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เรียน: การให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต (Mental Health) และความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ของผู้เรียน โดยการวิจัยจะมุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนและปลอดภัยทางอารมณ์
ความเสมอภาคและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ: การลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผ่านการใช้นโยบาย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสม
มิติสำคัญในการวิจัยการศึกษายุคใหม่: ปัจจุบันและอนาคต
แผนภูมิเรดาร์นี้แสดงการประเมินเชิงคุณภาพเกี่ยวกับมิติต่างๆ ในการวิจัยการศึกษายุคใหม่ โดยเปรียบเทียบระหว่างความสำคัญในปัจจุบัน แนวโน้มความสำคัญในอนาคต และระดับความท้าทายในการนำไปประยุกต์ใช้ ค่าต่างๆ เป็นการประเมินภาพรวมเพื่อสะท้อนทิศทาง ไม่ได้อ้างอิงข้อมูลสถิติเฉพาะเจาะจง
ทิศทางการวิจัยการศึกษาของชาติ (พ.ศ. 2568-2570)
สำหรับประเทศไทย มีการกำหนดทิศทางการวิจัยการศึกษาของชาติที่สอดรับกับแนวโน้มสากล เช่น การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง การสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา การพัฒนาทักษะกำลังคนให้สอดรับกับความต้องการของประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเสริมสร้างความเป็นพลเมืองดิจิทัล
วิดีโอ: 7 แนวโน้มการศึกษาสำคัญที่จะกำหนดการเรียนรู้ในปี 2025
วิดีโอนี้จะนำเสนอภาพรวมของแนวโน้มสำคัญทางการศึกษาที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อวิธีการเรียนรู้และการสอนในปี 2025 ซึ่งหลายประเด็นสอดคล้องกับการวิจัยและพัฒนาที่กล่าวถึงข้างต้น เช่น การใช้ AI การเรียนรู้เฉพาะบุคคล และความสำคัญของทักษะใหม่ๆ การทำความเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาสามารถเตรียมพร้อมและปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
VIDEO
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
การวิจัยการศึกษายุคใหม่แตกต่างจากแนวทางดั้งเดิมอย่างไร?
การวิจัยการศึกษายุคใหม่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้เชิงรุก การบูรณาการเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น (เช่น AI, สื่อดิจิทัล) และการพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 อย่างชัดเจน ต่างจากแนวทางดั้งเดิมที่มักเน้นครูเป็นศูนย์กลาง การถ่ายทอดเนื้อหา และการประเมินผลด้วยการทดสอบความจำ นอกจากนี้ การวิจัยยุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับความเสมอภาค การเรียนรู้เฉพาะบุคคล และการเรียนรู้ตลอดชีวิตมากขึ้น
ทักษะใดบ้างที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21?
ทักษะสำคัญมักถูกจัดกลุ่มเป็น "4Cs" ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การทำงานร่วมกัน (Collaboration) และการสื่อสาร (Communication) นอกจากนี้ยังรวมถึงความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Literacy) ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex Problem Solving) ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Adaptability) และการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning)
เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างไรในการศึกษายุคใหม่?
เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยในการปรับการเรียนรู้ให้เข้ากับผู้เรียนแต่ละคน (Personalized Learning) และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาการสอน, AR/VR สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริง, แพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลและเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการสร้างสรรค์ผลงาน
ครูผู้สอนต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้?
ครูผู้สอนจำเป็นต้องปรับบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้ (Sage on the Stage) มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Guide on the Side) โดยเน้นการออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ ครูต้องพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสอน การประเมินผลที่หลากหลาย และการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อตามให้ทันการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
คำแนะนำสำหรับการค้นคว้าเพิ่มเติม
แหล่งอ้างอิง