ภาพห้องพิจารณาคดีจำลอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลักการทางกฎหมายอาญา เช่น มาตรา 59 ถูกนำมาปรับใช้ในการพิจารณาความรับผิดของบุคคล
มาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทย ถือเป็นบทบัญญัติรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของบุคคล โดยมีใจความหลักว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยมี "เจตนา" เป็นองค์ประกอบสำคัญ เว้นแต่จะมีกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรานี้ไม่เพียงแต่กำหนดเงื่อนไขความรับผิด แต่ยังอธิบายความหมายของคำว่า "เจตนา" ไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย
เนื้อหาของมาตรา 59 บัญญัติไว้ว่า:
"บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย"
ดังนั้น มาตรา 59 จึงเป็นหัวใจหลักในการพิจารณาว่าการกระทำใดจะถือเป็นความผิดอาญาและสามารถลงโทษผู้กระทำได้หรือไม่ โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและสภาพจิตใจของผู้กระทำ
มาตรา 59 ได้วางกรอบความรับผิดทางอาญาไว้ 3 ประการหลัก ดังนี้:
นี่คือหลักการพื้นฐานและสำคัญที่สุดของความรับผิดทางอาญา การกระทำโดยเจตนาตามวรรคสองของมาตรา 59 ประกอบด้วยสองส่วนที่ต้องพิจารณาร่วมกัน:
ผู้กระทำต้องรู้ตัว ตระหนักว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ หรือกำลังจะทำอะไร เป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ ไม่ใช่การกระทำละเมอ หรือถูกบังคับโดยสิ้นเชิง
นอกจากการรู้สำนึกแล้ว ผู้กระทำต้องมีทัศนคติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผลลัพธ์ของการกระทำนั้นด้วย แบ่งเป็น:
มาตรา 59 วรรคสาม บัญญัติว่า "ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้" หมายความว่า หากผู้กระทำไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงสำคัญที่ทำให้การกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิด ก็จะถือว่าขาดเจตนา เช่น หยิบของของผู้อื่นไปโดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นของตนเอง ย่อมขาดเจตนาลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม หากความไม่รู้นั้นเกิดจากความประมาทของผู้กระทำ ก็อาจต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทหากกฎหมายบัญญัติไว้ (ตามมาตรา 59 วรรคสี่ และมาตรา 61)
เป็นข้อยกเว้นจากหลักเรื่องเจตนา บุคคลจะรับผิดทางอาญาเมื่อกระทำโดยประมาทได้ เฉพาะในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าการกระทำนั้นหากกระทำโดยประมาทแล้วเป็นความผิดและต้องรับโทษ เช่น ความผิดฐานกระทำให้คนตายโดยประมาท (มาตรา 291) หรือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ)
มาตรา 59 วรรคสี่ ได้ให้นิยาม "กระทำโดยประมาท" ว่า "ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่" สาระสำคัญคือ การขาดความระมัดระวังตามมาตรฐานที่คนทั่วไปในสถานการณ์เดียวกันพึงมี
เป็นข้อยกเว้นอีกประการหนึ่ง ซึ่งบุคคลอาจต้องรับผิดในทางอาญาแม้จะมิได้กระทำโดยเจตนาหรือประมาทก็ตาม แต่ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดเท่านั้น ความผิดประเภทนี้มักเป็นความผิดที่มีโทษไม่ร้ายแรง (ลหุโทษ) หรือเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลกิจการบางประเภทเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ความผิดตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมบางฉบับ หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมอาหารและยา
มาตรา 59 วรรคท้าย บัญญัติว่า "การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย" หมายความว่า การงดเว้นไม่กระทำการในสิ่งที่ตนมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายที่อาจเกิดขึ้น ก็ถือเป็นการ "กระทำ" ที่อาจนำไปสู่ความรับผิดทางอาญาได้หากครบองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น เจ้าหน้าที่สระว่ายน้ำมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของผู้ใช้สระ แต่ละเลยไม่ช่วยเหลือคนที่กำลังจะจมน้ำ จนเป็นเหตุให้คนนั้นเสียชีวิต อาจต้องรับผิดฐานกระทำการโดยงดเว้น
เพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงสร้างความรับผิดตามมาตรา 59 ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปเป็นผังมโนทัศน์ (Mindmap) ได้ดังนี้:
ผังมโนทัศน์นี้แสดงให้เห็นว่า "เจตนา" เป็นแกนกลางของความรับผิดทางอาญา โดยมี "ประมาท" และ "ความรับผิดเด็ดขาด" เป็นข้อยกเว้นที่ต้องมีกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ "การงดเว้น" ก็สามารถเป็นการกระทำที่นำไปสู่ความรับผิดได้หากมีหน้าที่ต้องกระทำ
แผนภูมิเรดาร์ด้านล่างนี้แสดงการประเมินเชิงเปรียบเทียบถึงความสำคัญและบทบาทขององค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 โดยเป็นทัศนะเพื่อประกอบความเข้าใจ ไม่ใช่ข้อมูลสถิติเชิงปริมาณ:
จากแผนภูมิ จะเห็นได้ว่า "เจตนา" มีความสำคัญสูงสุดในหลักการพื้นฐานและมักเป็นประเด็นหลักในการพิจารณาคดีอาญา ขณะที่ "ประมาท" ก็มีความถี่ในการปรากฏในคดีค่อนข้างสูงเช่นกัน ส่วน "การขาดเจตนาเนื่องจากไม่รู้ข้อเท็จจริง" เป็นข้อต่อสู้ที่สำคัญเพื่อหักล้างเจตนา "ความรับผิดเด็ดขาด" และ "การกระทำโดยงดเว้น" มีบทบาทในสถานการณ์เฉพาะตามที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างของเงื่อนไขความรับผิดแต่ละประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปเป็นตารางได้ดังนี้:
ประเภทความรับผิด | องค์ประกอบทางจิตใจ | เงื่อนไขตามกฎหมาย | ตัวอย่าง |
---|---|---|---|
การกระทำโดยเจตนา | รู้สำนึกในการกระทำ และ ประสงค์ต่อผล หรือ ย่อมเล็งเห็นผล | เป็นหลักทั่วไปของความผิดอาญาส่วนใหญ่ | ลักทรัพย์ (มีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต), ฆ่าผู้อื่น (มีเจตนาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย) |
การกระทำโดยประมาท | กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังตามมาตรฐานวิญญูชน (ไม่มีเจตนา) | กฎหมายต้องบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดเมื่อกระทำโดยประมาท | ขับรถชนคนตายโดยประมาท, กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ |
ความรับผิดโดยไม่มีเจตนา (Strict Liability) | ไม่จำเป็นต้องมีเจตนาหรือประมาท | กฎหมายต้องบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด | ความผิดลหุโทษบางประเภท เช่น ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในที่สาธารณะ, ความผิดตามกฎหมายเฉพาะบางฉบับ |
ตารางนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าความรับผิดทางอาญาในแต่ละกรณีขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของผู้กระทำและบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไร
เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหลัก "การกระทำโดยเจตนา" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ท่านสามารถรับชมวิดีโอด้านล่างนี้ ซึ่งอธิบายแนวคิดและองค์ประกอบของเจตนาในทางกฎหมายอาญาได้อย่างละเอียด วิดีโอนี้จะช่วยเสริมความเข้าใจในส่วนของ "รู้สำนึกในการกระทำ" "ประสงค์ต่อผล" และ "เล็งเห็นผล" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของมาตรา 59
วิดีโอนี้มาจากช่อง dol dhan นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ "หลัก กระทำ โดยเจตนา ปอ มาตรา 59" ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อหาที่กำลังอธิบาย ช่วยให้ผู้ศึกษากฎหมายหรือผู้สนใจทั่วไปสามารถเห็นภาพและเข้าใจหลักเกณฑ์เรื่องเจตนาได้ง่ายยิ่งขึ้น ผ่านการบรรยายที่เน้นประเด็นสำคัญของมาตรานี้
มาตรา 59 เป็นบทบัญญัติที่สะท้อนหลักการสำคัญในกฎหมายอาญาที่ว่า "การกระทำจะเป็นความผิดอาญาได้ต้องมีเจตนา" (Actus non facit reum nisi mens sit rea) หรือที่เรียกว่า "เจตนาเป็นพื้นฐานของความผิด" หลักการนี้มีขึ้นเพื่อประกันความเป็นธรรมในการลงโทษ ป้องกันไม่ให้บุคคลต้องรับผิดในสิ่งที่ตนมิได้ตั้งใจกระทำ หรือมิได้กระทำด้วยความประมาทเลินเล่อในกรณีที่กฎหมายกำหนด
การตีความและปรับใช้มาตรา 59 โดยศาลนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาคดีอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับได้วางแนวทางในการวินิจฉัยเรื่องเจตนา ประมาท และความไม่รู้ข้อเท็จจริงไว้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4423/2564 ที่กล่าวถึงการที่ผู้ร่วมกระทำความผิดจะต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดและมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดนั้น การทำความเข้าใจมาตรา 59 อย่างถ่องแท้จึงเป็นประโยชน์ไม่เพียงแต่ต่อนักกฎหมาย แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วไปในการตระหนักถึงขอบเขตความรับผิดทางอาญาของตนเองและผู้อื่น