การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับสัญญาณเชิงบวก โดยทั้งสองฝ่ายต่างระบุถึง "ความคืบหน้าสำคัญ" และการบรรลุ "ข้อตกลง" หรือ "ฉันทามติ" ในหลายประเด็น การเจรจาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งและดำเนินนโยบายภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติและความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเฟนทานิลในสหรัฐอเมริกา
การประชุมสุดยอดทางการค้าครั้งนี้ใช้เวลาสองวันเต็ม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดระดับความขิงแย้งทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก คณะผู้แทนจากสหรัฐฯ นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายเจมีสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer) ขณะที่คณะผู้แทนจากจีนนำโดยรองนายกรัฐมนตรี นายเหอ ลี่เฟิง (He Lifeng) การเจรจามุ่งเน้นไปที่การหาทางออกร่วมกันเพื่อยุติสงครามภาษีที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
บรรยากาศการเจรจาการค้า ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของข้อตกลงในทันที แต่ผลลัพธ์เบื้องต้นที่ประกาศออกมาถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่าทั้งสองฝ่ายได้ "บรรลุข้อตกลงทางการค้า" แล้ว ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการเจรจาที่ตึงเครียดมาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกัน ทางการจีนได้แถลงว่าการเจรจาครั้งนี้ "ตรงไปตรงมา ลึกซึ้ง และสร้างสรรค์" และทั้งสองฝ่ายได้บรรลุ "ฉันทามติที่สำคัญ" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับร่วมกันในหลักการบางประการ แม้ว่าการใช้คำอาจจะแตกต่างกัน แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามในการหาจุดร่วม
หนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือข้อตกลงในการจัดตั้ง "กลไกการปรึกษาหารือทางการค้า" (trade consultation mechanism) ซึ่งจะเป็นเวทีสำหรับการหารืออย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ กลไกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างช่องทางการสื่อสารที่ถาวรและเป็นระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายในอนาคต และช่วยเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ผู้นำคณะเจรจาของทั้งสองฝ่ายได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อผลการหารือ ซึ่งสะท้อนมุมมองและความคาดหวังที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วเป็นไปในทิศทางบวก
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ (ซ้าย) และรองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ ลี่เฟิง (ขวา) ในการเจรจา (ภาพประกอบ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่าการเจรจา "มีประสิทธิผล" (productive) และให้ผลผลิต "อย่างมาก" (substantial) และจะมีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมในการแถลงข่าวในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายเจมีสัน กรีเออร์ ก็ได้ยืนยันถึงความคืบหน้าอย่างมากเช่นกัน ทำเนียบขาวได้ประกาศถึงการบรรลุข้อตกลงทางการค้า แม้จะยังไม่ได้ให้รายละเอียดเฉพาะเจาะจงในทันที
รองนายกรัฐมนตรีจีน นายเหอ ลี่เฟิง กล่าวว่าการเจรจาเป็นไปอย่าง "ตรงไปตรงมา ลึกซึ้ง และสร้างสรรค์" (candid, in-depth and constructive) และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้ง "กลไกการปรึกษาหารือทางการค้า" สำหรับการหารือในอนาคต เจ้าหน้าที่จีนระบุว่าจีนจะออกแถลงการณ์ร่วมกับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรลุได้ในการเจรจาในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ โดยเรียกสิ่งที่ได้ว่านำไปสู่ "ฉันทามติที่สำคัญ" (important consensus)
รองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ ลี่เฟิง ผู้แทนฝ่ายจีนในการเจรจา
การเจรจาครั้งนี้เกิดขึ้นบนฉากหลังของสงครามการค้าที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน
สงครามการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
ภายหลังการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาใช้นโยบายภาษีที่แข็งกร้าวต่อจีน โดยมีการกำหนดอัตราภาษี 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีนในเบื้องต้น และได้มีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีเหล่านี้ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนอย่างสูงในตลาดโลก ก่อนการเจรจา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอแนะว่าเขายินดีที่จะลดอัตราภาษีต่อจีนลงเหลือ 80% ของระดับปัจจุบัน (ซึ่งบางแหล่งข่าวระบุว่ามีการขึ้นภาษีไปสูงถึง 145% สำหรับสินค้าบางรายการจากจีนก่อนหน้านี้) แต่ทำเนียบขาวชี้แจงในภายหลังว่าจีนก็จำเป็นต้องให้สัมปทานด้วยเช่นกัน
สหรัฐฯ ได้หยิบยกประเด็นความมั่นคงแห่งชาติขึ้นมาเป็นเหตุผลสำคัญในการดำเนินนโยบายการค้าต่อจีน โดยเชื่อมโยงกับวิกฤตการแพร่ระบาดของยาเสพติดเฟนทานิลในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกังวลหลักที่รัฐบาลทรัมป์ต้องการแก้ไข ประเด็นเหล่านี้ได้เพิ่มความซับซ้อนให้กับการเจรจาทางการค้า โดยสหรัฐฯ มองว่าการควบคุมการไหลเข้าของสารตั้งต้นในการผลิตเฟนทานิลจากจีนเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทางการค้าที่ต้องได้รับการจัดการ
สงครามการค้าได้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อตัวเลขการค้าและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ การเจรจาครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากจีนคาดว่าจะลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยอาจลดลงถึง 75% ถึง 80% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การลดลงนี้จะยิ่งรุนแรงกว่าการนำเข้าโดยรวมของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะลดลงอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงของนโยบายภาษีและการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก นักลงทุนและตลาดการเงินทั่วโลกต่างจับตามองผลการเจรจาอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าข้อตกลงที่เกิดขึ้นจะช่วยลดความไม่แน่นอน กระตุ้นการค้าการลงทุน และฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้
ตารางด้านล่างนี้สรุปประเด็นสำคัญและสถานะเบื้องต้นจากการเจรจาการค้า ณ กรุงเจนีวา:
ประเด็น | สถานะ/ข้อตกลงเบื้องต้น | หมายเหตุ |
---|---|---|
การลดความตึงเครียดทางการค้า | บรรลุ "ความคืบหน้าสำคัญ" และ "ข้อตกลง/ฉันทามติ" เบื้องต้น | ทั้งสองฝ่ายแสดงท่าทีเชิงบวกต่อผลการเจรจา |
กลไกการหารือในอนาคต | ตกลงจัดตั้ง "กลไกการปรึกษาหารือทางการค้า" ใหม่ | เพื่อการเจรจาประเด็นการค้าและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง |
การลดภาษี (Tariffs) | ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน สหรัฐฯ เคยเสนอความเป็นไปได้ในการลดหากจีนมีการตอบสนอง | ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวถึงการลดภาษีลง หากจีนให้สัมปทาน |
การเปิดตลาดและการเข้าถึงสินค้า | เป็นหนึ่งในเป้าหมายของสหรัฐฯ แต่ยังไม่ชัดเจนในข้อตกลงเบื้องต้น | จีนจำเป็นต้องให้สัมปทานตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในระยะยาว |
ความมั่นคงแห่งชาติ (สหรัฐฯ) | เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สหรัฐฯ หยิบยก รวมถึงประเด็นวิกฤตเฟนทานิล | เชื่อมโยงกับการกำหนดนโยบายภาษีของสหรัฐฯ |
ผลกระทบต่อปริมาณการค้า | คาดการณ์ว่าการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากจีนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 | อาจลดลง 75-80% สำหรับสินค้าจากจีนโดยเฉพาะ และการนำเข้าโดยรวมของสหรัฐฯ ลดลงอย่างน้อย 20% |
แถลงการณ์ร่วม | จีนระบุว่าจะมีการออกแถลงการณ์ร่วมกับสหรัฐฯ ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 | รัฐมนตรีคลัง Bessent จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม 13 พ.ค. 2025 |
แผนผังความคิดด้านล่างนี้แสดงภาพรวมขององค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้ารอบล่าสุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเจรจาและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนครอบคลุมประเด็นที่ซับซ้อนหลายด้าน แผนภูมิเรดาร์ด้านล่างนี้เป็นการประเมินเชิงคุณภาพ (opinionated analysis) เกี่ยวกับระดับความสำคัญที่แต่ละฝ่ายอาจให้กับประเด็นต่างๆ และระดับความคืบหน้าที่รับรู้ได้จากการเจรจาล่าสุด โดยอิงจากข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 3 (ต่ำสุด) ถึง 10 (สูงสุด)
จากแผนภูมิ จะเห็นได้ว่า "กลไกการปรึกษาหารือ" เป็นส่วนที่มีความคืบหน้าชัดเจนที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศของทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ประเด็นอื่นๆ เช่น การลดภาษี ทรัพย์สินทางปัญญา และการเข้าถึงตลาด อาจยังต้องการการเจรจาเพิ่มเติมในอนาคตผ่านกลไกใหม่นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ ได้ให้สัมภาษณ์เบื้องต้นเกี่ยวกับผลการเจรจาการค้ากับจีน ณ กรุงเจนีวา โดยเน้นย้ำถึงบรรยากาศที่ "มีประสิทธิผล" ของการพูดคุย วิดีโอด้านล่างนี้สรุปใจความสำคัญบางส่วนจากคำกล่าวของเขา (วิดีโอเป็นภาษาอังกฤษ):
ในคลิปวิดีโอ นายเบสเซนต์และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายเจมีสัน กรีเออร์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการเจรจา โดยแสดงความพอใจต่อความคืบหน้าและเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเชิงลึกของข้อตกลงยังคงต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป การแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ช่วยสร้างความคาดหวังว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศอาจกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการผ่อนคลายความตึงเครียด แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังคงมีความท้าทายอยู่ก็ตาม